เหล็กเอชบีมคือ

เหล็กเอชบีมต่างจากไอบีมอย่างไร? พร้อมวิธีเลือกใช้งานให้ถูกต้อง

เหล็กเอชบีมในอุตสาหกรรมก่อสร้างคืออะไร?

ในวงการก่อสร้าง หากพูดถึงโครงสร้างหลักที่ต้องรับน้ำหนักมาก ๆ หนึ่งในวัสดุที่ขาดไม่ได้คือ เหล็กเอชบีม หรือ H-Beam ซึ่งเป็นเหล็กรูปพรรณรีดร้อนที่มีหน้าตัดคล้ายตัวอักษร H ลักษณะนี้ไม่ได้มาเพียงเพราะดีไซน์ แต่เพราะมันตอบโจทย์เรื่องความแข็งแรงในการใช้งานจริง ปีกเหล็กของเอชบีมจะกว้างเท่า ๆ กันทั้งสองฝั่ง และมีความหนาค่อนข้างสม่ำเสมอกับแกนกลาง (Web) ส่งผลให้สามารถกระจายแรงได้ดีทั้งแนวดิ่งและแนวนอน

เหล็กเอชบีมถูกนำไปใช้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาคารสูง คลังสินค้า โรงงานขนาดใหญ่ หรือแม้แต่บ้านที่ต้องการพื้นที่เปิดโล่งโดยไม่มีเสากลางก็เลือกใช้เหล็กชนิดนี้เพื่อสร้างคานรับน้ำหนักหลัก

ลักษณะเด่นของเหล็กเอชบีม

  • หน้าตัดเป็นรูปตัว H ทำให้รับแรงได้สมดุล
  • ปีกและแกนกลางมีความหนาสม่ำเสมอ
  • เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความแข็งแรงสูง
  • รองรับน้ำหนักได้ทั้งแนวดิ่งและแนวขวาง
  • มาตรฐานที่ใช้บ่อย ได้แก่ JIS G3101, ASTM A36, SM490


แล้วเหล็กไอบีมคืออะไร?

หลายคนอาจจะคุ้นชื่ออีกแบบหนึ่งว่า I-Beam หรือเหล็กตัวไอ ซึ่งชื่อก็มาจากลักษณะหน้าตัดที่คล้ายตัวอักษร I จุดเด่นของเหล็กไอบีมคือปีกเหล็กจะแคบกว่า H-Beam อย่างชัดเจน โดยทั่วไปปีกจะบาง และเอียงเข้าด้านในเล็กน้อย (เรียกว่า tapered flange) ส่งผลให้รับแรงในแนวดิ่งได้ดี แต่ในด้านแรงบิดหรือแรงในแนวนอนจะไม่เทียบเท่ากับเหล็กเอชบีม
เหล็กไอบีมมักนิยมในงานก่อสร้างที่เน้นความประหยัด เช่น อาคารบ้านเรือนทั่วไปที่ไม่ได้มีภาระน้ำหนักสูงมาก

เปรียบเทียบเหล็กเอชบีมกับไอบีมแบบเข้าใจง่าย

 


เมื่อไหร่ที่ควรเลือกเหล็กเอชบีม?

  1. เมื่อมีระยะคานยาวมาก
    หากต้องการพื้นที่กว้าง โดยไม่ต้องมีเสากลางคอยขวางทางเดิน เหล็กเอชบีมจะช่วยให้สามารถวางคานยาวได้โดยไม่เกิดการแอ่นตัว
  2. โครงสร้างต้องรับน้ำหนักมาก
    เช่น อาคารที่มีหลายชั้น หรือมีเครื่องจักรหนักอยู่ชั้นบน โครงสร้างต้องมั่นใจว่าไม่เกิดการทรุดตัว
  3. ต้องการความทนทานระยะยาว
    เหล็กเอชบีมมีอัตราการโก่งตัวต่ำเมื่อใช้งานในระยะยาว จึงเหมาะกับโครงการที่ต้องการความมั่นคงหลายสิบปี
  4. โครงสร้างเปิดโล่งไม่มีผนังรับแรง
    เช่น คลังสินค้าหรือโรงจอดรถที่ไม่มีผนังด้านข้าง โครงสร้างหลังคาจะต้องรับแรงลมเองทั้งหมด

 

วิธีเลือกขนาดเหล็กเอชบีมให้เหมาะกับการใช้งาน

ในการเลือกขนาดเหล็กเอชบีม เราต้องพิจารณาทั้ง ความยาวของช่วงคาน และ น้ำหนักที่ต้องรองรับ ควบคู่กับความหนาและความสูงของหน้าตัด

ตัวอย่างเช่น:

  • หากช่วงคานยาว 6 เมตร และต้องรับน้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน
    วิศวกรอาจเลือกใช้ H-Beam ขนาด 200x200x8x12 mm
    (สูง 200 มม., ปีกกว้าง 200 มม., หนา Web 8 มม., หนา Flange 12 มม.)

ทั้งนี้ ควรให้วิศวกรโครงสร้างช่วยคำนวณ เพื่อความปลอดภัย

 

ตรวจสอบเหล็กเอชบีมแท้ ต้องดูอะไรบ้าง?

  • ตราประทับโรงงาน (Mill Mark): ควรมีชื่อโรงงานปั๊มไว้ที่ตัวเหล็ก
  • ใบรับรองมาตรฐาน (Mill Certificate): ใช้ยืนยันว่าเหล็กผ่านการผลิตตามมาตรฐาน เช่น JIS, ASTM
  • ขนาดและน้ำหนักตรงสเปค: วัดจริงเทียบกับเอกสารกำกับทุกครั้ง
  • ผิวเหล็กไม่เบี้ยวหรือบิดงอ: สังเกตด้วยตาเปล่าได้ทันที
  • สนิม: หากพบสนิมแดงในเนื้อเหล็กใหม่ แปลว่าเก็บไม่ดี อาจไม่ควรนำไปใช้งานสำคัญ


ใช้เหล็กเอชบีมสร้างบ้านได้ไหม?

คำตอบคือ ได้ และในหลายกรณี ควรใช้ ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะบ้านที่มีสไตล์เปิดโล่ง เช่น Loft, Modern Industrial หรือบ้านชั้นเดียวที่ต้องการพื้นที่กว้าง ๆ ไม่มีเสากลาง ซึ่ง H-Beam จะช่วยให้โครงสร้างแข็งแรงในขณะที่ยังคงความโปร่งสบาย

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าโครงสร้างทั่วไป จึงควรคำนวณร่วมกับงบประมาณ รวมถึงปรึกษาวิศวกรเพื่อประเมินว่าควรใช้ H-Beam ในส่วนไหนบ้างของบ้าน ไม่ใช่ใช้ทุกจุดโดยไม่จำเป็น

จะเลือก H-Beam หรือ I-Beam ดี?

หากโครงการของคุณต้องการโครงสร้างแข็งแรง รับน้ำหนักเยอะ หรือออกแบบให้มีพื้นที่เปิดโล่งยาว ๆ แบบไม่มีเสากลาง คำตอบที่ชัดเจนคือ เลือกเหล็กเอชบีม
แต่ถ้าคุณกำลังสร้างบ้านทั่วไปสองชั้น และต้องการประหยัดงบประมาณ เหล็กไอบีมก็ยังคงตอบโจทย์ได้ดี เพียงแต่ต้องคำนวณระยะคานและน้ำหนักที่รองรับให้เหมาะสม
หากคุณกำลังมองหาเหล็กเอชบีม , เหล็ก H-Beam , เหล็ก I-Beam สำหรับงานโครงสร้างต่าง ๆ ติดต่อทีมงาน KT Steel เพื่อรับคำปรึกษาและใบเสนอราคาได้ทันที

บริษัท ก.ธนวัฒน์ สตีล เซนเตอร์ จำกัด
โทร : 081-917-2808062-229-1132
Line : @KTSSTEEL